Monday, November 12, 2007

ชีวิตเหมือนกับใบไม้ พระธรรมเทศนา ของ หลวงพ่อปัญญา

หลวงพ่อปัญญาได้แนะนำวิธีเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ก่อนจะถึงคราวที่ต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักไป ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “ดับสังขาร-ประเพณี ปริศนาธรรม พิธีกรรม” และวิธีทำให้ถูกต้องครบถ้วนในงานศพ...โดยมีตอนที่ท่านได้บรรยายธรรมไว้ว่า...ชีวิตเหมือนกับใบไม้... ที่วัดแห่งนี้ ถ้าหากมีการตั้งศพบำเพ็ญกุศล จะมีการสวดพระอภิธรรมเพียงจบเดียว จากนั้นเป็นการบรรยายธรรมะให้ญาติโยมที่มาในงานฟังเพื่อให้ผู้มาในงานได้สิ่งที่เป็นกุศลกลับไปบ้าง ตามสมควรแก่ฐานะ
โดยหลวงพ่อมักจะบรรยายว่าวันนี้เราทั้งหลายมาประชุมกันที่นีก็เพื่อไว้อาลัยแก่บุคคลผู้หนึ่งซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ร่างกายของคนเรานั้น เมื่อแก่ชราเต็มที่แล้วก็เหมือนกับ ใบไม้ เราเดินมาในวัดในช่วงนี้จะเห็นว่า บนถนนมีใบไม้แห้งเต็มไปหมด นั่นเป็นเครื่องแสดงให้เราเห็นว่า ชีวิตของคนเรามันก็เหมือนกับใบไม้ เริ่มต้นด้วยแตกใบอ่อน แล้วก็เป็นใบเพสลาด แล้วเป็นใบแก่ เป็นใบเหลือง แล้วผลที่สุดก็หลุดจากขั้ว กระจุยกระจายไปตามพื้นดิน เป็นปุ๋ยของต้นไม้ต่อไป ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ตั้งต้นด้วยถือปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา แล้วก็ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ สิบเดือนก็ออกมาจากครรภ์ลืมตาดูโลก พอลืมตาขึ้นก็ร้องไห้ การร้องไห้นั่นแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า โลกนี้มันไม่สบาย โลกนี้มันมีความทุกข์ มีความเดือดร้อน เพราะฉะนั้น เด็กแรกเกิดทุกคนจึงร้องไห้
การร้องไห้นั้นเป็นเครื่องประกาศให้เราทั้งหลายรู้ว่า ชีวิตมันเป็นทุกข์ แล้วก็เป็นทุกข์จริงๆ สุขนั้นมันมีน้อย เป็นเด็กแล้วก็เจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับ กระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วผลที่สุดก็แก่ชรา แตกดับไปตามสังขารร่างกาย

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก...11 ตุลาคม 2550 08:34 น....ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องไปสนใจมัน แต่ให้สนใจปัจจุบันว่า ทำตัวดีแต่ไหน ทำความดีเสียในขณะนี้ ตายแล้วก็จะไปดีเอง... หลวงพ่อปัญญามรณภาพ-เป็นข่าวลือหนึ่งที่ลือกันมากสุด ในช่วงกลางปี ๒๕๔๗ ส่วนเหตุที่เกิดข่าวลือนั้น เพราะมีพระรูปหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ หลวงพ่อปัญญารองเจ้าอาวาสวัดบ้านตาดเศกสันติ กัลยาณวิสุทธิ์ จ.อุดรธานี มรณภาพ แต่คนเข้าใจว่าเป็น หลวงพ่อปัญญาวัดชลประทานฯ ในช่วงที่เกิดข่าวลือนั้น บรรดาลูกศิษยโทรศัพท์ไปสอบถามที่วัด เป็นจำนวนมาก ชนิดที่เรียกว่า สายแทบไหม้ และในที่สุดข่าวลือก็กลายเป็นข่าวจริง .เมื่อเช้าตรู่ของวันวาน หลวงพ่อปัญญามรณภาพ... ช่วงที่เกิดข่าวลือว่าหลวงพ่อปัญญามรณภาพนั้น ท่านได้ออกมาพูดเป็นคติเตือนใจว่า ...ข่าวลือเรื่องตายไม่ใช่เรื่องอัปมงคล พระพุทธศาสนาไม่ได้ยึดถือว่า เรื่องใดเป็นมงคลหรืออัปมงคล พุทธศาสนาถือว่า การทำดีเป็นมงคล ส่วนการทำชั่วเป็นอัปมงคล ใครจะลือว่า อย่างไรฉันไม่ถือ เมื่อถึงเวลาตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่เคยคิดกลัวตายเลยสักครั้งเดียว เพราะความตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก...
และเรื่องความตายนี้เองก็เป็นคำถามยอดฮิต ที่มักมีผู้ถามท่านหลายครั้งหลายครา
ถามกันทุกครั้งที่มีการบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ว่า...ตายแล้วไปไหน... ขณะเดียวกันท่านก็ตอบสวนออกมา แบบไม่ต้องคิดว่า ...ตายแล้วไปป่าช้า.
ตามมาด้วยคติธรรมที่ว่า
...ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องไปสนใจ แต่ให้สนใจปัจจุบันว่า ทำตัวดีแค่ไหน ทำความดีเสียในขณะนี้ ตายแล้วก็จะไปดีเอง เมื่อเรารู้ว่า เราจะตาย เราควรทำอะไรที่จะไม่ให้เสียชาติที่ได้เกิดมา เราก็ควรจะตั้งคำถามตัวเองว่า ฉันเกิดมาทำไม ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะว่าชีวิตนี้แข่งอยู่กับความตาย...ยิ่งแก่...ยิ่งต้องทำงาน(คำสอนหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
ยิ่งแก่ ยิ่งต้องทำงาน ยิ่งป่วย ยิ่งต้องทำงาน เพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด ต้องทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด หลวงพ่อปัญญานันทะ
เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2454 (ตรงกับรัชกาลที่ 6) และ นับถึงปัจจุบันท่านมีอายุ 96 ปี ถึงแม้ว่าสังขารท่านจะร่วงโรย มีโรคภัยไข้เจ็บเหมือนปุถุชนคนสูงอายุทั่วไป แต่ทานกลับมีแนวคิดที่แตกต่าง บางคน สังขารร่วงโรย
แล้วก็จะเริ่มน้อยใจในชีวิต ว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แต่กับหลวงพ่อแล้วไม่ใช่ คำพูดเมื่อคืนของหลวงพ่อ ทำให้คนขี้เกียจอย่างเรา จุกขึ้นมา น้ำตารื้นๆเต็มตา เพราะในวัยที่กำลังทำงานอย่างเรา กลับสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดี ได้น้อยกว่าท่านมาก ท่านว่า ยิ่งแก่ ยิ่งต้องทำงาน ยิ่งป่วย ยิ่งต้องทำงาน เพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด ต้องทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

No comments: